สรุปข่าวทางการศึกษา
สั่งออกราชการครูโหดทำร้ายเด็กพิเศษวัย12ปี ผวจ.ชัยภูมิรุดเยี่ยมพร้อมมอบเงินช่วยเหลือ
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการเผยแพร่ออกไปจนกระทั่งเมื่อมารดา นางระเวียง จำบัวขาว อายุ 46 ปี ชาวต.ชีบน อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ที่มีอาชีพหาเช้ากินค่ำได้อาศัยช่วงวันแม่แห่งชาติวันหยุดงานเพื่อมาขอพบพาลูกไปดูแลบ้าน เกิดพบอาการผิดปกติของบุตรชายวัย 12 ปี มีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายฟกช้ำไปทั้งตัวและมีเลือดออกจมูกมาตลอด และมีอาการอาเจียนออกเป็นเลือดมาตลอดจนต้องเร่งนำส่งโรงพยาบาลชัยภูมิให้แพทย์ช่วยเหลืออาการอย่างเร่งด่วนมาตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา และพยายามติดต่อขอความเป็นธรรมไปทางโรงเรียนแต่ก็ไม่เคยได้รับการดูแลและแสดงความรับผิดชอบจากโรงเรียนและครูผู้ก่อเหตุเลยแต่อย่างใด จนต้องวอนขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชนให้ช่วยประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จนล่าสุด นายพรศักดิ์ เจียรณัย ผวจ.ชัยภูมิ และในฐานะคณะสนช. ทราบเรื่องจึงได้สั่งประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัดและโรงพยาบาลชัยภูมิ เร่งช่วยเหลือดูแลอาการเด็กเหยื่อครูเท้าโหดในครั้งนี้จนล่าสุดเด็กเริ่มมีอาการดีขึ้นและสามารถลุกนั่งด้วยตัวเองได้บ้างแล้ว ซึ่งผู้ว่าฯเองได้เร่งเดินทางเข้าเยี่ยมดูแลอาการเด็กที่โรงพยาบาลชัยภูมิและสอบถามข้อเท็จจริงด้วยตนเองและช่วยมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือให้ครอบครัวเด็กรายนี้ในเบื้องต้นรวมอีก 10,000 บาท พร้อมให้ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโรงเรียนและครูเท้าโหดรายนี้ เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง และสั่งตั้งกรรมการดำเนินการเอาผิดทางวินัยเพื่อให้ครูผู้ก่อเหตุรายนี้ออกราชการให้ไว้ก่อนแล้วและประสานเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองเด็กพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จ.ชัยภูมิ ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดทางอาญาเพิ่มเติมขั้นเด็ดขาดด้วยอีกทางโดยเร็วต่อไป
ด้านผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดกับครูผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายเด็กรายนี้แล้ว หลังทราบเรื่องมาตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา และทราบว่าครูที่เป็นครูพี่เลี้ยงมีหน้าที่ดูแลเด็กพิการของโรงเรียนและในหอพัก ซึ่งเจ้าตัวเองยอมรับว่าได้กระทำจริงแต่ที่ทำลงไปไม่มีเจตนาว่าจะทำเด็กรุนแรงขนาดนี้ ซึ่งเพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่ายจึงให้ออกราชการไว้ก่อน จนกว่าจะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นไม่เกิน 4-5 วันนี้ เพื่อที่จะดำเนินการเอาผิดทางวินัยและอาญาต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีและสร้างความเสื่อมเสียต่อสถานบันได้อีกต่อไป
สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากข่าว
การลงโทษโดยการทำร้ายร่างกายของนักเรียนเป็นสิ่งที่ครูไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักเรียนที่อยูในประเภทเด็กพิเศษ เพราะเขาไม่เหมือนกับนักเรียนปกติ ครูควรใช้หลักจิตวิทยาอื่นๆที่ควรใช้กับนักเรียนประเภทนี้ ซึ่งในข่าวนักเรียนเป็นเด็กพิเศษประเภทที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับหูหรือการได้ยิน ครูต้องใช้ภาษาท่างทางในการสื่อสารที่ถูกต้อง นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เกิดจากการผิดปกติของร่างกาย การกระทำดังกล่าวของครูท่านนี้ สมควรได้รับโทษ แม้นักเรียนพิเศษคนนี้จะกระทำสิ่งใดที่ครูท่านนี้ไม่พอใจ แต่การลงโทษของครูท่านนี้ถือเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น